วิธีดูกระเป๋า Louis Vuitton ของแท้ VS ของปลอม


ในปัจจุบัน Louis Vuitton เป็นอีกแบรนด์ที่ประสบปัญหาการถูกละเมิดลิขสิทธิ์มากที่สุดในโลก และ 90% ของกระเป๋าที่ขายในเว็บไซต์ E-bay ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นของละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งสิ้น ด้วยวิวัฒนาการที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเป็นการยากสำหรับมือใหม่ ที่จะแยกแยะกระเป๋าของแท้ออกจากของปลอม การศึกษารวมถึงการใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อยของกระเป๋า จึงนับว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก จะขอยกตัวอย่างจุดสังเกตง่าย ๆ สำหรับมือใหม่ที่สามารถตรวจสอบกระเป๋าที่บ้านง่าย ๆ ด้วยตัวเอง


 1. LOGO and Monogram


สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่เห็นได้ชัดคงหนีไม่พ้น ลาย Monogram อันเลื่องชื่อ ซึ่งทาง Louis Vuitton จะใส่ใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ ดังจะเห็นได้ในกระเป๋าของแท้ ลายของกระเป๋าจะคมชัด เรียงตัว เว้นช่องไฟอย่างสวยงาม

ลวดลาย Classic Monogram ประกอบด้วยตัวอักษร LV ตัวใหญ่ไขว้กัน โดยที่ตัวอักษร V จะอยู่เหนือตัวอักษร L เล็กน้อย อีกทั้งยังประกอบไปด้วยลายดอกไม้ 4 กลีบที่เรียกว่า fleur-de-lys (เฟลอร์เดอลีส) แบบทึบ และแบบโปร่งในกรอบสี่เหลี่ยม , ลายดอกไม้ 4 กลีบขอบกลม จะไม่มีสัญลักษณ์แบบอื่นหรือดอกไม้แบบอื่นนอกจากที่กล่าวมาข้างต้น

จุดสังเกตคือ จากจุดตะเข็บของกระเป๋า หากเริ่มต้นด้วยลายดอกไม้ 4 กลีบ ปลายจบของกระเป๋าจะต้องจบด้วยลายดอกไม้ 4 กลีบเสมอ หรือเมื่อเริ่มต้นจากลายดอกไม้เพียงครึ่งเดียว ปลายจบก็จะเป็นลายดอกไม้เพียงครึ่งเดียวเช่นกัน รูปแบบการวางลายควรมีลักษณะตรงกัน ไม่เบี้ยวหรือคด


ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ :  กระเป๋ารุ่น Speedy จะทำการตัดเย็บขึ้นรูปจากแผ่นหนังเพียงแผ่นเดียว ลายอีกด้านหนึ่งของกระเป๋าจึงกลับหัว หากพบเห็นกระเป๋ารุ่น Speedy ลายทั้ง 2 ด้านของกระเป๋าตั้งตรงเป็นแนวเดียวกัน หรือลายมีความบิดเบี้ยวไม่คมชัด ให้ฟันธงได้เลยว่าเป็นของปลอม

หากกระเป๋าทำจากวัสดุผ้าใบลาย Damier Ebene ซึ่งเป็นอีกหนึ่งลายยอดนิยม โลโก้ “Louis Vuitton Paris” ในรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส จะต้องมีลายเสมอกันทั้ง 2 ด้านของกระเป๋า เป็นอีกหนึ่งจุด ที่ต้องใส่ใจในรายละเอียดเหล่านี้เป็นพิเศษ


2. Stitching and Trim


กระเป๋าลาย Monogram รุ่นคลาสสิค จะใช้ด้ายลินินคุณภาพสูง โดยทั่วไปสีของด้ายที่เย็บจะเป็นสีเหลืองมัสตาร์ด จะไม่ใช้สีเหลืองสด ตัวด้ายจะมีการเคลือบด้วยขี้ผึ้ง เพื่อป้องกันการหลุดลุ่ย การตัดเย็บ ช่องไฟ ควรมีความสม่ำเสมอ เรียบร้อย เป็นระเบียบ ฝีเย็บที่ไม่เรียบร้อย หนาหรือบางเกินไป รวมถึงมีการหลุดรุ่ยบิดเบี้ยว นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ดีเท่าใดนัก ในส่วนของหูจับของกระเป๋าแต่ละใบ จะถูกประกบเข้าด้วยกันโดยกาวยึดหนังชนิดพิเศษ


ขอบมุมของกระเป๋า (Trim) จะใช้วัสดุหนังชนิดพิเศษที่มีชื่อเรียกว่า “Vachetta leather” เป็นหนังวัวแท้ ซึ่งในเริ่มแรกจะมีสีขาวนวล และจะเปลี่ยนสีน้ำตาลเข้ม หรือแม้แต่สีน้ำตาลแดง อันเป็นการทำปฏิกิริยาธรรมชาติของหนังชนิดนี้กับสภาพอากาศ รวมถึงอายุของกระเป๋า (อาจแตกต่างไปตามแต่วิธีการเก็บรักษากระเป๋าของแต่ละคน) กระเป๋าปลอมส่วนใหญ่ ทำจากพลาสติก มีสีขาว และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของสี แม้จะผ่านการใช้งานมานานแค่ไหนก็ตาม

 


ข้อสังเกต : หากคาดว่ากระเป๋าผลิตในช่วงปี 1990s ในส่วนของกระเป๋าที่ทำจากหนัง Vachetta จะต้องมีการเปลี่ยนสีเข้มขึ้น หากมันยังคงเป็นสีขาวนวล อาจสันนิษฐานได้ว่า เป็นกระเป๋าปลอม หรือมีการดัดแปลงซ่อมแซมกระเป๋า การทำ Spa กระเป๋าเปลี่ยนหนังใหม่

 

3. Hardwear and Zipper


ในส่วนของอะไหล่และซิปของกระเป๋า ควรเป็นโลหะแท้หรือทองเหลือง (solid brass) เคลือบทองหรือเงิน ซึ่งอะไหล่บนกระเป๋าของแท้ ไม่ควรมีการเปลี่ยนสี , หลุดลอก หรือมัวหมอง ควรมีลักษณะเป็นมันวาว ไม่ด้าน คุณสมบัติอื่น ๆ ของอะไหล่ที่ควรทำการสังเกตนั้น รวมถึง รอยปั๊มบนอะไหล่ทุกจุด จะต้องมีความเรียบร้อย ลึก อยู่กึ่งกลางชัดเจน ไม่บิดเบี้ยวหรืออยู่ผิดตำแหน่ง โดยส่วนมากจะพบตัวพิมพ์ “LOUIS VUITTON” บนอะไหล่จุดต่างๆ และอาจพบตัวพิมพ์  “LV” บนหัวซิป รวมถึงอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ที่มากับกระเป๋า เช่น ตัวกุญแจแม่ลูก เป็นต้น

ในส่วนของตัวซิป ลักษณะของซิปเวลารูดขึ้นลงจะต้องลื่น ไม่ติดขัด ด้านในจะมองเห็นตัวหัวซิปเป็นรูป Y โดยหัวซิปจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ดีไซน์ รุ่นของกระเป๋า และรุ่นของซิป ทางแบรนด์จะไม่มีการใช้ซิปของ YKK (บริษัทซิปของญี่ปุ่น) หรือแบรนด์อื่น ๆ ด้านหลังของซิปจะว่างเปล่า ไม่มีการตีตรายี่ห้อใด ๆ สำหรับตัวกุญแจแม่ลูก จะมีรหัสเฉพาะที่ระบุเป็นหมายเลข ซึ่งหากหมายเลขไม่ตรงกัน จะไม่สามารถไขเพื่อทำการเปิดล็อคได้ 


ซ้ายแท้ : ขวาปลอม

ข้อสังเกต : กระเป๋าของปลอมส่วนใหญ่ ตัวอะไหล่จะทำจากพลาสติกพ่นสีทองหรือเงิน ซึ่งทำให้มีน้ำหนักเบา และจะมีการลอกหรือลบเลือนได้ง่าย เมื่อผ่านการใช้งาน


4. Stamp and Pattern

กระเป๋าของแท้ทุกใบ ต้องมีการประทับ หรือที่เรียกว่า “Heat Stamp” เป็นการปั๊มตัวอักษรด้วยความร้อน ลงบนหนัง ตัวอักษรมีข้อความว่า “LOUIS VUITTON PARIS” และ “made in France”  (หรือประเทศอื่น ๆ ตามต้นทางประเทศที่ผลิต โดยจะต้องสอดคล้องกับตัวรหัส Date Code ซึ่งจะทำการกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป) สามารถพบตราประทับได้ ทั้งในและนอกกระเป๋า ขึ้นอยู่กับรุ่นของกระเป๋า


ซ้ายแท้ / ขวาปลอม

ลักษณะของตัวปั๊มต้องมีความคมชัด ไม่มีการกดลงบนชั้นหนังลึกเกินไปจนเกิดรอยบุ๋มบนหนัง ตัวอักษรไม่บิดเบี้ยว ไม่เลอะเทอะในกรณีที่เป็นตัวปั๊มสี ข้อสังเกตง่ายๆของฟ้อนตัวอักษรคือ หางบนตัว L จะสั้นมาก ส่วนตัว O จะกลมเท่ากัน และในตัว T ทั้ง 2 ตัวอยู่ติดกันมากจนดูกลมกลืนเหมือนเป็นคำ ๆ เดียวกัน อีกทั้งตัวอักษรจะบาง ไม่หนาจนเกินไป


จุดสังเกต : ตัวอักษร O บนตัวปั๊มนั้น จะมีลักษณะที่กลมมาก ในกระเป๋าปลอมส่วนใหญ่ จะค่อนข้างมีลักษณะคล้ายวงรี กระเป๋าของปลอมบางอันตัวอักษร L อยู่ในตำแหน่งใกล้กับตัว O มากเกินไป ไม่เห็นพื้นที่ว่างระหว่างตัวอักษรได้ชัดเจน อีกทั้งตัวอักษร LOUIS VUITTON จะพิมพ์ด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด


5. Date Code


Date Code คือรหัสที่จะทำการระบุได้ว่ากระเป๋าใบนั้น ๆ ถูกผลิตเมื่อไหร่ ที่ประเทศอะไร จะประกอบด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษด้านหน้า 2 ตัว ซึ่งหมายถึงประเทศผู้ผลิต ตามด้วยหมายเลข 3-4 หลัก ซึ่งเป็นการระบุว่ากระเป๋าถูกผลิตขึ้นเมื่อใด สิ่งสำคัญที่สุดในการทำการตรวจสอบกระเป๋านั้น จะต้องแน่ใจว่า ตัวรหัส Date Code ที่ปรากฏจะต้องสัมพันธ์กันกับ Heat Stamp ที่ระบุประเทศที่ผลิต made in ตามด้วย (ประเทศที่ผลิต) บนตัวกระเป๋าด้วย ดั่งตัวอย่างด้านล่าง 

ตัวอย่างการอ่าน Date Code MI5019 ตัวอักษรภาษาอังกฤษ 2 ตัวแรก MI หมายถึงประเทศที่ผลิต  ตัวเลขที่ 1 และตัวเลขที่ 3 ได้แก่ 51 คือสัปดาห์ที่ผลิต สุดท้ายคือตัวเลขตำแหน่งที่ 2 และ 4 คือ 09 คือปีที่ผลิต สรุปได้ว่า กระเป๋าใบนี้ถูกผลิตที่ประเทศฝรั่งเศส (MI) ในสัปดาห์ที่ 51 (51) ของปี ค.ศ. 2009 (09) ฉะนั้น ตัว Heat Stamp บนกระเป๋า จะต้องเป็นคำว่า made in France เท่านั้น
 
 

 
ในปัจจุบัน แบรนด์ Louis Vuitton ไม่ได้มีฐานการผลิตแค่ประเทศฝรั่งเศสเท่านั้น แต่ยังมีการผลิตกระเป๋าจากหลากหลายประเทศ ดังเช่น สหรัฐอเมริกา , สเปน , เยอรมัน , อิตาลี รวมถึงสวิตเซอร์แลนด์ ฉะนั้นการอ่าน Date Code จึงถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม สำหรับตัวรหัสนั้นมาในรูปแบบของตัวพิมพ์ที่แตกต่างกันออกไป โดยอาจระบุบนTag หนังขนาดเล็กที่เย็บติดในกระเป๋า ในซับด้านในของกระเป๋า หรือปั๊มลงบนกระเป๋าเลยก็ได้ ตารางด้านล่างคือตัวอย่างรหัสประเทศ
 

ข้อควรสังเกต : ไม่สามารถใช้วิธีนี้ ในการตรวจสอบกระเป๋า Vintage ที่ผลิตในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1980 เนื่องจากกระเป๋าในยุคนั้น จะไม่พบรหัสเหล่านี้ และ รหัส Date Code เป็นเพียงรหัสที่ระบุสถานที่ผลิตและผลิตเมื่อไหร่เท่านั้น ไม่ใช่รหัสเฉพาะของกระเป๋า ดังนั้น การซ้ำกันของรหัสบนกระเป๋าถือหลาย ๆ ใบ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ สามารถศึกษาวิธีการอ่าน Date Code ของกระเป๋า Louis Vuitton เพิ่มเติมได้ที่นี่ วิธีอ่าน Date Code Louis Vuitton ฉบับกูรู
 

6. Authenticity Card


ในกระเป๋าของแท้ จะไม่มี Authenticity Card แนบมากับตัวกระเป๋าด้วยอย่างเด็ดขาด กระเป๋าลอกเลียนแบบส่วนมาก จะมาพร้อมกับบัตรเหล่านี้ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ไม่มีความรู้เบื้องต้น เกิดความสับสนและเชื่อว่าเป็นของแท้ แต่ในกระเป๋าของแท้ คุณอาจพบกับการ์ดรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก สีครีม ซึ่งระบุรุ่นของกระเป๋ารวมถึงบาร์โค้ดบนนั้น ดังรายละเอียดต่อไปนี้

ตัวอย่าง Authenticity Card ที่มาพร้อมกับกระเป๋าของปลอม

การ์ดของปลอมเหล่านี้ ส่วนใหญ่ จะมาพร้อมกับห่อกระดาษสีเหลืองครีมหรือสีเขียวสด ระบุตัวอักษร LOUIS VUITTON สีน้ำตาลเลือดหมูบนนั้น หากคุณซื้อกระเป๋า Louis Vuitton จากบูทีค จะได้รับใบเสร็จที่ใส่มาอย่างเรียบร้อยในซองสีน้ำตาลเข้ม (สำหรับกระเป๋ารุ่นเก่าก่อน 2016) และสีเหลืองแซฟฟรอน (สำหรับกระเป๋ารุ่นหลังปี 2016) จะไม่มีสีอื่นใดนอกจากนี้เป็นอันขาด แต่ในปัจจุบัน บริษัทผลิตกระเป๋าปลอมได้รับการพัฒนาไปอย่างมาก ในเรื่องของอุปกรณ์ที่มาพร้อมกับกระเป๋าก็สามารถทำได้คล้ายของแท้เป็นอย่างมาก ดังนั้นต้องพิจารณาส่วนอื่นประกอบการตัดสินใจด้วย

การ์ดหรือแท็คที่แนบมากับกระเป๋าของแท้ จะแบ่งออกเป็น 3 แบบด้วยกัน (ไม่จำเป็นต้องมีครบทั้ง 3 แบบ ขึ้นอยู่กับภูมิภาคสาขาที่ซื้อ และหากเป็นกระเป๋ามือ 2 การ์ดเหล่านี้อาจไม่ได้แนบมากับกระเป๋าด้วย)

  • ชิ้นแรก คือแท็คขนาดเล็ก รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สีครีม ระบุวัสดุที่ใช้ผลิตกระเป๋าใบนั้น ๆ (ยกตัวอย่างเช่น ผ้าหรือชนิดของหนัง) โดยด้านหนึ่งจะระบุเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อพลิกอีกด้านหนึ่ง จะระบุเป็นภาษาฝรั่งเศส ซึ่งแท็คนี้ จะไม่มีการเย็บติดมากับกระเป๋าด้วยวิธีการใดทั้งสิ้น โดยทาง Louis Vuitton จะทำการแนบมัน มากับช่องต่าง ๆ ในกระเป๋า (ในกระเป๋าปลอมเกรดต่ำส่วนมาก จะทำการห้อยแท็คนี้ ไว้ที่หูกระเป๋าด้านนอก)


  • ชิ้นที่ 2 คือการ์ดหรือสติ๊กเกอร์ สี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่ระบุรหัสรุ่น ชื่อรุ่นของกระเป๋ารวมทั้งบาร์โค๊ต ในบางใบอาจมีรูปของกระเป๋ารุ่นนั้น ๆ ระบุด้วยก็ได้ สำหรับกระเป๋ารุ่นเก่า ส่วนกระเป๋ารุ่นใหม่จะปรากฏในลักษณะของ QR Code ทั้งนี้ทั้งนั้นแตกต่างกันออกไปในแต่ละรุ่นและปีที่ผลิตของกระเป๋า

  • ชิ้นที่ 3 คู่มือการดูแลรักษาที่แนบมาด้วย โดยในคู่มือรุ่นเก่า มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า สีขาว อาจมีการเย็บเป็นเล่มหรือเป็นแผ่นพับก็ได้ ด้านหน้าจะระบุถึงผลิตภัณฑ์ที่เราได้ทำการซื้อ (ซึ่งกระเป๋าปลอมส่วนใหญ่จะลอกเลียนแบบในส่วนนี้เยอะมาก)
สำหรับกระเป๋ารุ่นใหม่ ๆ จะมาพร้อมกับคู่มือขนาดเท่าฝ่ามือสีส้ม ด้านหน้าระบุคำว่า LOUIS VUITTON ด้านใต้ ระบุประเภทของผลิตภัณฑ์ที่เราซื้อ ภายในจะระบุวิธีเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ โดยแบ่งเป็น 4 ภาษาหลัก ๆ ด้วยกัน คือ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น และ ภาษาจีน (อาจมีภาษาอื่นเพิ่มได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละภูมิภาค)



7. Dust Bag


ถุงกันฝุ่น เป็นสิ่งหนึ่งที่ยากจะเลียนแบบ ด้วยวัสดุที่นำมาตัดเย็บ รวมถึงรายละเอียดปลีกย่อยที่เราไม่ควรมองข้าม ถุงกันฝุ่นของ Louis Vuitton แบ่งออกได้เป็น 3 แบบ 3 ยุคดังนี้

  • รุ่นแรก คือถุงผ้าที่มาพร้อมกับกระเป๋าที่ผลิตในช่วงยุคแรก ๆ ก่อนปี ค.ศ. 2004 โดยใช้วัสดุเป็นผ้าฝ้ายอย่างหนา 100% มาทำการตัดเย็บ ตัวถุงผ้ามีสีน้ำตาลเข้ม มีการพิมพ์ตัวอักษร “LV” ไขว้ อันเป็นสัญลักษณ์ ไว้ที่ด้านหน้าของถุง สีของตัวอักษรจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม มีทั้งแบบที่เป็นถุงผ้าพับและแบบถุงผ้าหูรูด ในถุงผ้าหูรูด เชือกจะเป็นเชือกขนาดบาง มีสีน้ำตาลเข้มด้วยเช่นกัน

  • รุ่นที่ 2 เป็นถุงผ้าที่เริ่มใช้ตั้งแต่ ค.ศ. 2004 – 2016 ตัดเย็บจากผ้าฝ้าย 100% เช่นกัน แต่มีขนาดบางกว่ารุ่นเก่าเล็กน้อย สีเหลือครีม ระบุตัวอักษร “LOUIS VUITTON” สีน้ำตาลตัวพิมพ์ใหญ่ด้านหน้าของถุงผ้า ตัวอักษรจะต้องอยู่ตรงกึ่งกลางอย่างสมบูรณ์ ไม่บิดเบี้ยว มีทั้งลักษณะถุงผ้าพับและถุงแบบหูรูด สำหรับถุงหูรูด เชือกจะมีสีน้ำตาลเข้ม


  • รุ่นที่ 3 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 เป็นต้นมา ทาง Louis Vuitton ได้ทำการเปลี่ยนรูปแบบ Packaging ใหม่ทั้งหมด จากเดิมเป็นสีน้ำตาลเข้ม มาในเฉดสีเหลืองส้ม รูปแบบใหม่ที่มีชื่อเรียกเฉพาะว่า “Imperial Saffron” ถุงผ้าตัดเย็บจากผ้าฝ้าย 100% แต่มีลักษณะบางกว่า 2 รุ่นแรกมาก สีของถุงผ้า ออกสีเหลืองครีม ด้านหน้าพิมพ์ตัวอักษร “LOUIS VUITTON” สีน้ำเงินเข้ม มีความหนากว่ารุ่นก่อน มีทั้งลักษณะถุงผ้าพับและถุงแบบหูรูด สำหรับถุงหูรูด เชือกมีขนาดหนา มีสีน้ำเงินเข้ม

 

จุดสังเกต : สำหรับถุงผ้าของปลอม ส่วนใหญ่จะทำจากผ้าแบบบางที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือผ้าราคาถูก มักจะมีขุยและฉีกขาดง่าย ตัวอักษรที่ตีพิมพ์บนถุงผ้า มีลักษณะไม่คมชัด หนาหรือบางเกินไป สีของตัวอักษรเลอะเทอะ เลอะเลือน ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคุณสมบัติของถุงผ้าปลอม ที่ไม่ควรละเลยในทุกรายละเอียด และนี่คือตัวอย่างถุงผ้าของปลอม ที่สามารถพบเจอได้ทั่วไปในปัจจุบัน

 


ภายในของถุงผ้าทุกรุ่น จะมีการเย็บติดป้ายสีขาวเล็ก ๆ ด้านใน ระบุข้อความว่า  “100% cotton Made in India” พร้อมทั้งหมายเลข Serial Number ของถุงผ้านั้นๆ แต่อาจพบได้ว่า มีถุงผ้าที่ผลิตจากประเทศอื่นๆอีก อาทิเช่น Made in Spain , Italy หรือ Japan ฉะนั้นไม่ต้องตกใจ หากพบว่าถุงผ้าของคุณ ไม่ได้ผลิตจากประเทศอินเดีย หากได้ตรวจสอบรายละเอียดปลีกย่อยจุดอื่น ๆ อย่างถี่ถ้วนแล้ว

 

เป็นยังไงบ้างครับสำหรับข้อมูลเบื้องต้นในการดูสินค้าของ Louis Vuitton หวังว่าคงจะเป็นวัคซีนชั้นดี ช่วยให้ไม่ถูกหลอกในการซื้อขายทั้งของใหม่และของมือสองทุกช่องทาง และถ้าจะให้มั่นใจว่าเป็นของแท้ ควรซื้อจากร้านที่เป็นทางการ หรือ Official Store จะเป็นดีที่สุด

CR. https://style.katexoxo.com

Post a Comment

0 Comments